ปลูกผมแบบไหนดี ระหว่าง FUT และ FUE

hairtransplant

สำหรับผู้ที่พบเจอปัญหาผม ทั้งผมร่วง หรือ ผมบาง หรือ แม้แต่อาการหนักจนศีรษะล้านแล้ว หลังจากการหาข้อมูลมาแล้ว คงพอทราบแล้วว่า การปลูกผมถาวร นั้นมีหลายรูปแบบ แต่เราคิดว่าหลายท่านคงยังไม่ทราบถึงความแตกต่างของแต่ละแบบกันแน่ๆ แล้วถ้าหากจะให้เลือก ปลูกผมแบบไหนดี วันนี้เรามีการปลูกผม 2 แบบ ที่จะนำมาเทียบความแตกต่างกัน นั้นคือการปลูกผม FUE และ การปลูกผม FUT

เดี๋ยวเราไปดูกันเลยว่า ปลูกผมทั้ง 2 แบบ มีความแตกต่างกันอย่างไร มีข้อดี ข้อเสีย ที่ไม่เหมือนกันยังไงบ้าง ซึ่งในบทความนี้พวกเรา Cosmo Clinic ทำขึ้นมาเพื่อให้ข้อมูลกับคนทั่วไปที่กำลังสนใจแก้ปัญหาด้วยวิธีการปลูกผม

การปลูกผมถาวร คืออะไร ?

การปลูกผมถาวร ก็คือการย้ายเซลล์รากผม หรือ เราอาจคุ้นเคยกับการเรียกว่า กราฟผม ซึ่ง จะทำการย้ายจากส่วนที่กราฟผมมีความแข็งแรง ผมขึ้นหนา นำไปปลูกยังบริเวณที่ ผมเกิดปัญหา เพื่อให้ผมบริเวณนั้นกลับมางอกใหม่ และ ขึ้นหนาตามเดิม

การปลูกผมที่เรียกว่า ปลูกผมถาวร ก็เพราะว่า แม้จะตัดผม หรือ ถอนผมออกไป แต่ยังมีรากผมอยู่ ดังนั้น ผมจะสามารถงอกออกมาใหม่ได้เรื่อยๆ ส่วนเทคนิคที่ใช้ในการทำนั้น ก็จะแตกต่างกันในเรื่องของขั้นตอนการทำ แต่จุดประสงค์นั้นเหมือนกัน ก็คือ การย้ายกราฟผมไปปลูกยังบริเวณที่ต้องการ

และต่อจากนี้พวกเราจะมาว่ากันถึง เทคนิคปลูกผม ทั้งสองแบบ ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร ระหว่าง FUT และ FUE เดียวเราไปรับชมกันเลย

1.ปลูกผม FUT (Follicular Unit Transplant) ปลูกผมแบบแผลตัดเย็บ

FUT

ปลูกผมด้วยทคนิค FUT ปลูกผมแบบแผลตัดเย็บ เป็นเทคนิคที่มีการใช้มานานมากกว่า 20 ปี แล้ว แต่ในปัจจุบันก็ยังคงใช้กันอยู่ แต่ก็มีการพัฒนามาโดยตลอด เป็นเทคนิคที่มีประสิทธิภาพ และ ผลลัพธ์ในการรักษา ที่สามารถรักษาอาการหัวล้านขั้นรุนแรงได้

2.ปลูกผม FUE (Follicular Unit Excision) ปลูกผมแบบเจาะ

ปลูกผมด้วยทคนิค FUE ปลูกผมแบบเจาะ เป็นเทคนิคที่ใหม่กว่าการปลูกผมแบบ FUT โดยใช้การเจาะแทนการตัดเย็บ ดังนั้น แน่นอนว่า แผลเป็นจะเล็กกว่า แผลหายไวกว่า โดยการเจาะจะใช้อุปกรณ์เจาะแบบไฟฟ้าในการดึงกราฟผมออกมาแทน แผลจะเล็กประมาณ 0.65-0.95 มม. เท่านั้น

จุดเด่น – จุดด้อยของ FUT และ FUE ปลูกผมแบบไหนดี

เอาล่ะ เดี๋ยวเรามาดูกันว่า เทคนิคปลูกผม ทั้ง 2 แบบ ที่เราจะพูดถึง มีจุดเด่น และ จุดด้อย ที่แตกต่างกันยังไงบ้าง และเราควร ปลูกผมแบบไหนดี

จุดเด่นของเทคนิค FUT

  • กราฟผม มีคุณภาพดีมากๆ เพราะจะเหลือ เนื้อเยื้อต่างๆ ไว้บริเวณรากผม กราฟผมเสียหายน้อย
  • เก็บกราฟผมได้จำนวนมาก อาจถึง 4,000-5,000 กราฟในบางเคส
  • ส่วนใหญ่คลินิกปลูกผม จะคิดราคาการปลูกผมแบบ FUT ถูกกว่า แบบ FUE
  • แพทย์ผู้ทำ มักคุ้นเคยกับเทคนิคนี้ เพราะเป็นเทคนิคแบบพื้นฐาน ที่ได้รับความนิยม และใช้มานาน

จุดด้อยของเทคนิค FUT

  • แผลเป็นมีขนาดใหญ่กว่า เนื่องจากเป็นการ เปิดแผล ตัดหนังศีรษะ และเย็บปิด
  • อาจทิ้งรอยแผลเป็นที่สังเกตเห็นได้ง่าย ถ้าตัดผมสั้น
  • ผู้ที่มีหนังศีรษะตึง อาจไม่เหมาะกับเทคนิคนี้ เพราะจะทำให้หนังศีรษะตึงเกินไป

จุดเด่นของเทคนิค FUE

  • แผลเป็นขนาดเล็ก 0.65-0.95 มม. ถ้าไม่สังเกตแทบมองไม่เห็น สาารถตัดผมสั้นได้
  • แผลหายไวกว่า แบบ FUT เนื่องจากไม่มีแผลใหญ่
  • ฟักพื้นน้อย แผลหายไว ดูแลง่ายกว่า ไม่ต้องตัดไหม

จุดด้อยของเทคนิค FUE

  • กราฟผมที่เก็บได้ไม่เยอะเท่า FUT สามารถเก็บได้ประมาณ 3,000-3,500 กราฟ ดังนั้นไม่เหมาะกับผู้ที่ผมบางมากหรือหัวล้านมาก
  • ใช้เทคนิคเยอะ ต้องการแพทย์ผู้ชำนาญการ เพราะหากไม่คุ้นเคย หรือ ไม่มีประสบการณ์ในการทำมาก่อน โอกาสที่กราฟผมที่ดึงออกไปจะเสียหาย ก่อนนำไปปลูกจะมีสูงกว่า
  • ราคาสูงกว่า ในขณะที่เก็บกราฟผมได้น้อยกว่า

บทสรุป ปลูกผมแบบไหนดี ?

หากถามว่า ปลูกผมแบบไหนดี พวกเรา Cosmo Clinic บอกเลยว่า ไม่สามารถระบุเจาะจงลงไปได้ เพราะปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น สภาพของผมของคนไข้ที่จะรักษา หรือ สภาพความพร้อมของแต่ละคน ดังนั้น ทางที่ดีที่สุดที่จะรู้ได้ว่า เราเหมาะกบการปลูกผมแบบไหน

ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินสภาพศีรษะ และ ประเมินกราฟผมก่อนที่จะทำ ซึ่ง ที่ Cosmo Clinic พวกเราจะทำการเช็คความพร้อม และ สภาพอาการของลูกค้าทุกคน ทุกเคส เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะกับลูกค้ามากที่สุด รับรองว่าผลลัพธ์ออกมาถูกใจแน่นอน